วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557

เรื่องสมุนไพรใช้แทนยา

             ใช้สมุนไพรแทนยา



สมุนไพรไทยนี้มีค่ามาก

พระเจ้าอยู่หัวทรงฝากให้รักษา

แต่ปู่ ย่า ตา ยาย ใช้กันมา

ควรลูกหลานรู้รักษาใช้สืบไป

เป็นเอกลักษณ์ของชาติควรศึกษา

วิจัยยาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมัย

รู้ประโยชน์รู้คุณโทษสมุนไพร

เพื่อคนไทยอยู่รอดตลอดกาล

พระราชนิพนธ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

        จากบทประพันธ์ดังกล่าวได้กล่าวไว้ว่าสมุนไพรนั้นอยู่คู่คนไทยมานับพันปี แต่เมื่อการแพทย์แผนปัจจุบันเริ่มเข้ามามีบทบาทในบ้านเรา สรรพคุณและคุณค่าของสมุนไพรอันเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าภูมิปัญญาโบราณก็เริ่มถูกบดบังไปเรื่อยๆ และถูกทอดทิ้งไปในที่สุด ความจริงคนส่วนใหญ่ก็พอรู้ๆกันว่า สมุนไพรไทยเป็นสิ่งที่มีคุณค่าใช้ประโยชน์ได้จริง และใช้ได้อย่างกว้างขวาง แต่เป็นเพราะว่าเราใช้วิธีรักษาโรคแผนใหม่มานานมากจนวิชาแพทย์แผนโบราณที่มีสมุนไพรเป็นยาหลักถูกลืมจนต่อไม่ติด และสมุนไพรนั้นควรจะได้รับการศึกษา สืบสอดต่อไปเพื่อให้คนยุคต่อๆไปไม่ลืมเลือนไป
สมุนไพร หมายถึง พืชที่มีสรรพคุณในการรักษาโรค หรืออาการเจ็บป่วยต่างๆ การใช้สมุนไพรสำหรับรักษาโรค หรืออาการเจ็บป่วยต่างๆ นี้ จะต้องนำเอาสมุนไพรตั้งแต่สองชนิดขึ้นไปมาผสมรวมกันซึ่งจะเรียกว่ายา ในตำรับยานอกจากพืชสมุนไพรแล้วยังอาจประกอบด้วยสัตว์ และแร่ธาตุอีกด้วย เราเรียกพืช สัตว์ หรือแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบของยานี้ว่า เภสัชวัตถุ พืชสมุนไพรบางชนิด เช่น กานพูล เป็นต้น พืชเหล่านี้ถ้านำมาปรุงอาหารเราจะเรียกว่าเครื่องเทศ
คำว่าสมุนไพรตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายถึง พืชที่ใช้ทำเป็นเครื่องยา สมุนไพรกำเนิดมาจากธรรมชาติ และมีความหมายต่อชีวิตมนุษย์โดยเฉพาะในทางสุขภาพ อันหมายถึงทั้งการส่งเสริมสุขภาพ และการรักษาโรค ความหมายของยาสมุนไพรในพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 ได้ระบุว่า ยาสมุนไพร หมายความว่ายาที่ได้จากพฤกษาชาติสัตว์ หรือแร่ธาตุซึ่งมิได้ผสมปรุง หรือแปรสภาพ เช่น พืชก็ยังเป็นส่วนของราก ลำต้น ใบ ดอก ผล ฯลฯ ซึ่งมิได้ผ่านขั้นตอนการแปรรูปใดๆ แต่ในทางการค้าสมุนไพรมักจะถูกดัดแปลงในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ถูกหั่นให้เป็นชิ้นเล็กลง บดเป็นผงละเอียด หรืออัดเป็นแท่ง แต่ในความรู้สึกของคนทั่วไปเมื่อกล่าวถึงสมุนไพรมักนึกถึงเฉพาะต้นไม้ที่นำมาใช้เป็นยาเท่านั้น
และในส่วนต่อไปนี้ก็จะได้นำเรื่องราวของบทความที่ให้ความรู้เพิ่มเติมต่อไป เพื่อเป็นส่วยขยายความรู้ในเรื่องของสมุนไพร

ข้อมูลทั่วไปของสมุนไพร

สำหรับการแพทย์ดั้งเดิมของสังคมไทยมีพัฒนาการนับเนื่องจากอดีตสู่ปัจจุบัน ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ในยุคประวัติศาสตร์สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา และสมัยรัตนโกสินทร์มีประสบการณ์ใช้ยาสมุนไพรที่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในยุครัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 3 มีการรวบรวมตำราสมุนไพรในการรักษาเด็กและผู้ใหญ่ วิธีปรุงยาและวิธีใช้ยาสมุนไพรอย่างละเอียด และจารึกในแผ่นศิลาตามศาลารายของวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) สมุนไพรที่จารึกมีจำนวนกว่า 1,000 ชนิด และรัชกาลที่ 5 ทรงฟื้นฟู รวบรวมและชำระตรวจสอบคำภีร์แพทย์ และมีการจัดพิมพ์ตำราชื่อ ตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ (ฉบับหลวง) ขึ้นเพื่อใช้ในการศึกษา และบำบัดโรคสำหรับแผนโบราณขึ้น ในระยะเดียวกันการแพทย์แบบตะวันตกได้เข้าสู่สังคมไทย และได้รับการส่งเสริมจากรัฐมากขึ้นทำให้ประชาชนยอมรับ และนิยมการแพทย์แบบตะวันตกในระยะต่อมา อย่างไรก็ตามความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อสมุนไพรมิได้ถูกละทิ้งประสบการณ์การใช้สมุนไพรได้รับการเรียนรู้ และการถ่ายทอดจากคนรุ่นก่อนสู่คนรุ่นต่อมา วัฒนธรรมการรักษาโรคความเจ็บป่วยด้วยสมุนไพรยังดำรงอยู่ในสังคมไทยจนถึงปัจจุบัน และสมุนไพรในการพัฒนาสังคมไทยในหลายมิติ คือ
1.คุณค่าด้านการแพทย์และสาธารณสุข ความหมายของสมุนไพรในพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2522 คือ สมุนไพร หมายถึงยาที่ได้จากพฤกษชาติ สัตว์ และแร่ธาตุ ซึ่งมิได้ปรุง และแปรสภาพสมุนไพร เป็นสิ่งที่ประชาชนใช้ประโยชน์ด้านการแพทย์ และสาธรณสุขประชาชนไทยบริโภคสมุนไพรใน 3 รูปแบบคือ สมุนไพรจากแหล่งธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำเร็จรูปและยาแผนโบราณ ใน พ.ศ. 2529 สำนักงานสถิติแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรีได้สำรวจเกี่ยวกับสวัสดิการอนามัยและการใช้ยาแผนโบราณ พบว่าประชากรไทยใช้ยาแผนโบราณ หรือสมุนไพรไทยในการบำบัดรักษาโรค ยาสมุนไพร และยาแผนโบราณเหล่านี้ประชากรคุ้นเคย เชื่อถือ และนิยมในสรรพคุณการรักษาโรค ยาแผนโบราณที่ประชาชนนิยมใช้กันคือ ยาหอม ยานัตถุ์ ยาบำรุงโลหิต ยาระบาย ยาแก้ร้อนใน และยาแก้ไอ นับได้ว่าประชาชนไทยจำนวนไม้น้อยยังมีการใช้สมุนไพรเพื่อสุขภาพและการแก้ไขปัญหาสาธารณสุข
2.คุณค่าด้านเศรษฐกิจ สมุนไพรเป็นทรัพยากรที่สำคัญของประเทศ และมีฐานะเป็นวัตถุดิบพื้นบ้านของอุตสาหกรรมยาแผนโบราณ แหล่งผลิตยาแผนโบราณที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกระทรวงสาธารณสุขมีจำนวนมาก ตำรายาแผนโบราณเหล่านี้ใช้สมุนไพรกว่า 1,000 ชนิด โดยผลิตในหลายรูปแบบ เช่น ยาเม็ด ยากวน ยาแผ่น เป็นต้น กรรมวิธีผลิตยาแผนโบราณทำตามวิธีการที่สืบทอดกันมา อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมยาแผนโบราณมีอุปสรรคสำคัญคือ อุปสรรคด้านกฎหมายที่ปิดกั้นการพัฒนายาแผนโบราณและปัญหาด้านวัตถุดิบสมุนไพร เนื่องจากพื้นที่ป่าธรรมชาติถูกทำลายและลดลง อีกทั้งการปลูกสมุนไพรยังไม่กว้างขวาง จึงทำให้วัตถุดิบบางชนิดหายาก ขาดแคลน หรือบางชนิดต้องนำเข้าจากต่างประเทศ มูลค่าการบริโภคยาแผนโบราณของประชาชนมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังมีองค์กรภาครัฐ และภาคเอกชน ได้นำงานวิจัยสมุนไพรเดี่ยวมาพัฒนาเทคโนโลยีในระดับอุสาหกรรมการผลิตยาจากสมุนไพรภายในประเทศด้วย ในรูปแบบที่ทันสมัยต่างๆ อุตสาหกรมยาจากสมุนไพรเหล่านี้อาศัยวัตถุดิบสมุนไพร และเทคโนโลยีภายในประเทศ อันเป็นการพัฒนาศักยภาพของอุตสาหกรรมยา และพึ่งตนเองได้อย่างแท้จริง
3.คุณค่าด้านนิเวศวิทยา ระบบนิเวศของโลกที่สลับซับซ้อนประกอบด้วยพรรณพืชที่มีหลากหลาย พรรณพืชเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำหรับยารักษาโรค สีย้อม น้ำหอม เครื่องปรุงรสและแต่งสีสมุนไพรเหล่านี้มีคุณค่าต่อเศรษฐกิจและสังคมสามในสี่ของประชากรโลกยังคงใช้พืชสมุนไพรจากป่าธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนา
4.คุณค่าด้านการเกษตรกรรม ภาวะปัจจุบันการเกษตรแบบอุตสาหกรรม ซึ่งใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงจำนวนมาก สร้างปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของผู้บริโภคอย่างมาก วงการเกษตรกรรมของสังคมไทยต้องการทางออกเพื่อการแก้ปัญหาเหล่านี้ สมุนไพรส่วนหนึ่งมีสรรพคุณในการช่วยกำจัดแมลงที่เป็นศัตรูพืชและช่วยรักษาโรคของพืชได้ ดังนั้นสมุนไพรจึงมีคุณค่าต่อด้านเกษตรกรรมและต่อผู้บริโภคโดยตรง เพราะผลผลิตที่ได้จะปราศจากพิษภัยจากสารเคมีทำให้ปลอดภัยต่อผู้บริโภค พืชสมุนไพรที่ใช้ทดแทนสารเคมีที่ใช้ยาฆ่าแมลง เช่น สะเดา ตะไคร้หอม ข่า ดาวเรือง เป็นต้น
5.คุณค่าแห่งภูมิปัญญา และวัฒนธรรม การใช้สมุนไพรแก้ปัญหาความเจ็บไข้ได้ป่วยที่นับเป็นภูมิปัญญาอันทรงคุณค่าที่บรรพบุรุษได้ลองผิดลองถูกค้นคว้าวิจัยตามธรรมชาติเหนือสิ่งอื่นใด บรรพบุรุษได้ใช้ชีวิตเลือดเนื้อแทนห้องปฎิบัติการ จนกระทั่งสั่งสมเป็นองค์ความรู้สืบทอดให้ลูกหลานได้ใช้ประโยชน์มาจนถึงปัจจุบัน องค์ความรู้เหล่านี้มีทั้งส่วนที่มิได้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรและบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ ตำราใบลาน สมุดข่อย จารึก การบันทึก ในรูปแบบจิตรกรรมฝาผนังหรือหลักฐานทางประวัติศาสตร์อื่นๆ เหล่านี้ล้วนแสดงถึงภูมิปัญญาอันชาญฉลาดที่มุ่งแก้ไขโรคภัยไข้เจ็บ โดยมิได้ลืมการสั่งสอนอบรมให้ตั้งต้นอยู่ในความดีความงามตามแนวทางของพระพุทธศาสนาอันเป็นวัฒนธรรมประจำชาติ

สมุนไพรนับว่าเป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติอย่างแท้จริง สมุนไพรก่อเกิดตามธรรมชาติ และพัฒนาคู่เคียงกับการแสวงหาทางออกในด้านสุขภาพของมนุษย์ สมุนไพรมีความหมาย และทรงคุณค่าหลายมิติแตกต่างกันไปตามยุคสมัยของสังคมโลก และสังคมไทย แม้โลกยุคใหม่จุพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ยาแผนใหม่จากสารเคมีหลายชนิดได้เข้ามาแทนที่สมุนไพรมิใช่ว่าจะทดแทนคุณค่าของสมุนไพรที่มีอยู่ได้ดีคุณค่าของสมุนไพรกำลังได้รับความสำคัญ และพัฒนาให้เป็นระบบครบวงจร อันทำให้สมุนไพรมีคุณค่าในการพัฒนาสังคมไทยได้หลายมิติ และอย่างยั่งยืนในอนาคต


สรรพคุณของสมุนไพร

     พืชสมุนไพรที่ใช้ในการทำยานั้นใช้ได้ทุกส่วนของพืชสมุนไพร ซึ่งส่วนต่างๆของพืชสมุนไพรที่ใช้ในการทำยาได้แก่ ดอก ผล ใบ ลำต้น และราก แต่ทั้งนี้ส่วนต่างๆของสมุนไพรที่นำมาทำยาก็มีลักษณะและสรรพคุณที่แตกต่างกันด้วย เพราะฉะนั้นการนำส่วนต่างๆของสมุนไพรมาทำยาจึงต้องเลือกให้เหมาะกับโรคและการรักษาอาการป่วยนั้นๆ

ดอกสมุนไพร 

         สมุนไพรบางชนิดมีสรรพคุณทางยาอยู่มากที่ดอก จึงได้มีการนำดอกของสมุนไพรนั้นๆมาใช้ในการทำยา ดอกของสมุนไพรแต่ละชนิดนั้นมีความแตกต่างกันออกไป อีกทั้งสรรพคุณในการรักษาก็แตกต่างกันไปด้วย การนำดอกสมุนไพรมาทำยานั้น ดอกที่สมบรูณ์ที่สามารถนำมาใช้ในการทำยาได้นั้นจะต้องมีองค์ประกอบของดอกครบ อันได้แก่ ก้านดอก กลีบดอก กลีบรอง เกสรตัวผู้ เกสรตัวเมีย และการเก็บดอกสมุนไพรมาทำยานั้นจะนิยมเก็บในช่วงที่ดอกเริ่มบาน หรือโรคบางชนิดก็ต้องใช้ดอกสมุนไพรที่อยู่ในช่วงดอกตูม ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับโรคที่จะทำการรักษา

ผลของสมุนไพร 

        ผลของสมุนไพรบางชนิดสามารถนำมาใช้ทำยาได้ และมีสรรพคุณทางยาที่แตกต่างกันออกไปตามชนิดของพืชสมุนไพรนั้นๆ ผลของต้นสมุนไพรบางต้นมีสรรพคุณทางยาสูง แต่ผลของต้นสมุนไพรบางต้นมีสรรพคุณทางยาน้อย ดังนั้นการเลือกผลของสมุนไพรมาใช้ในการทำยาจึงต้องขึ้นอยู่กับอาการของโรคที่จะทำการรักษาด้วย ผลของต้นสมุนไพรที่นำมาใช้ทำยา ได้แก่ ผลเดี่ยว เช่น มะระมะม่วง เป็นต้น ผลกลุ่ม เช่น จำปี การเวก เป็นต้น ผลรวม เช่น ขนุน ลูกยอ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการแบ่งลักษณะของผลที่จะนำมาใช้ทำยาลงไปอีก 3 ลักษณะ ได้แก่ ผลเนื้อ ผลแห้งชนิดแตก และผลแห้งชนิดไม่แตก ผลของพืชสมุนไพรที่เก็บมาทำยานั้นอาจจะแตกต่างกันออกไปตามโรค บางโรคควรใช้ผลของพืชสมุนไพรที่ยังไม่แก่ บางโรคควรใช้ผลของพืชสมุนไพรที่แก่เต็มที่ เป็นต้น

ใบสมุนไพร

         ยาสมุนไพส่วนใหญ่จะใช้ใบของพืชสมุนไพรมาทำยา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าใบสมุนไพรจะมีสรรพคุณทางยามากกว่าส่วนอื่นๆของต้นพืชสมุนไพร แต่การนำใบของพืชสมุนไพรมาทำยานั้นจะขึ้นอยู่กับสรรพคุณในการรักษาโรคนั้นๆด้วย ว่าเหมาะจะใช้ส่วนใดของพืชสมุนไพรในการรักษา แต่โดยทั่วไปแล้วใบพืชทุกชนิดจะเป็นแหล่งสะสมของสารอาหาร เนื่องจากพวกมันใช้ใบในการสังเคราะห์แสง หายใจ แลกเปลี่ยนแก๊ส และคายน้ำ  ในการนำใบสมุนไพรมาทำยานั้นมักจะนิยมเก็บใบสมุนไพรที่เจริญเติบโตเต็มที่ หรือในการรักษาโรคบางชนิดอาจจะต้องใช้ใบอ่อนของสมุนไพรหรือใบที่ไม่แก่มากจนเกินไป และจะเก็บใบสมุนไพรในช่วงที่ดอกของสมุนไพรบาน เพราะเชื่อว่าช่วงเวลานี้ใบของสมุนไพรจะมีสรรพคุณทางยามากที่สุด ใบสมุนไพรที่นำมาใช้ทำยาสมุนไพรนั้นจะต้องมีส่วนประกอบของตัวใบ ก้านใบ และหูใบ และใบของต้นสมุนไพรที่มักนำมาใช้ทำยาได้แก่ ใบยอ การพลูใบขลู่ เป็นต้น

ลำต้นสมุนไพร 

        ลำต้นของพืชทุกชนิดไม่เพียงแต่ลำต้นของพืชสมุนไพรจะทำหน้าที่ในการลำเลียงน้ำ ธาตุอาหารและสารต่างๆ ที่พืชสร้างขึ้นเพื่อนำไปเลี้ยงส่วนต่างๆของต้นพืชให้เจริญเติบโต ลำต้นของพืชสมุนไพรบางชนิดจะอยู่ใต้ดิน ซึ่งลำต้นที่อยู่ใต้ดินนั้นจะมีตา ข้อ ปล้อง และใบเกล็ดคลุมตา ได้แก่ ขิง ข่า เป็นต้น และลำต้นของพืชสมุนไพรยังสามารถแบ่งออกได้อีกหลายลักษณะที่นำมาใช้ในการทำยาสมุนไพร ได้แก่ ลำต้นของพืชสมุนไพรยืนต้น เป็นต้น ในการนำมาทำยานั้นส่วนใหญ่มักจะลอกเอาเปลือกบริเวณลำต้นมาใช้ในการทำยา หรือบางครั้งก็จำเป็นตัดเนื้อในส่วนที่อยู่ในลำต้นมาทำยา และนิยมเก็บเปลือกของลำต้นสมุนไพรมาทำยาในช่วงฤดูร้อนและฤดูฝน เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ลำต้นหรือเปลือกของลำต้นจะมีสรรพคุณทางยามากที่สุด

รากสมุนไพร 

        รากของพืชสมุนไพรหรือรากของพืชทั่วไป โดยปกติแล้วมันจะทำหน้าที่ในการดูดซับน้ำ และแร่ธาตุๆจากดิน เพื่อส่งต่อไปยังส่วนต่างๆของต้นพืช และรากยังเป็นแหล่งสะสมของสารอาหารต่างๆ รวมทั้งมีสรรพคุณทางยาที่ดีสำหรับพืชสมุนไพรบางชนิด เช่น กระชาย ขมิ้น เป็นต้น รากของพืชที่นำมาทำยานั้นมี 2 ชนิด นั่นคือ รากแก้ว และรากฝอย ซึ่งรากของพืชสมุนไพรนิยมเก็บมาทำยาในช่วงต้นฤดูหนาวถึงปลายฤดูร้อน เนื่องจากในช่วงนี้รากของพืชสมุนไพรจะมีปริมาณตัวยาค่อนข้างสูง และทำให้การรักษาโรคด้วยรากพืชสมุนไพรมีประสิทธิภาพสูง

การเก็บรักษาสมุนไพร

          ปัญหาอย่างหนึ่งของการใช้ยาสมุนไพรเป็นเวลานานก็คือ การเก็บรักษา เนื่องจากสมุนไพรมีกรรมวิธีแปรสภาพมาเป็นยาโดยการตากแห้ง การอบ การบด และทำเป็นลูกกลอน ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อราและหนอนเป็นอย่างมาก เพราะสมุนไพรไทยต้องมีการเก็บรักษาในที่แห้งและไม่อับชื้นเพื่อคงคุณภาพของยาไว้ได้นาน ยาสมุนไพรไทยมักจะเกิดปัญหาในการเก็บรักษาอยู่บ่อยครั้ง หากเก็บรักษาไม่ได้อาจทำให้กลิ่นและสีของยาเปลี่ยนแปลงไป และที่สำคัญอาจทำให้คุณภาพของยาเสื่อมลงด้วย เมื่อนำยาสมุนไพรที่เสื่อมคุณภาพไปใช้ในการรักษาโรค ยาก็ไม่สามารถออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่ในการเก็บรักษาโรคหรือไม่ออกฤทธิ์ในการรักษาโรคเลย เนื่องจากตัวยาสมุนไพรได้หมดคุณภาพไปแล้วเพราะฉะนั้นการเก็บรักษายาสมุนไพรจึงต้องพิถีพิถันและระมัดระวังอย่างดี เพื่อคงคุณภาพของยาในการรักษาโรคเอาไว้ ซึ่งวิธีการในการเก็บรักษายาสมุนไพรเพื่อให้คงคุณภาพไว้ได้นาน ทำได้ดังนี้
1. ควรเก็บยาสมุนไพรไว้ในที่แห้งและเย็น และสถานที่เก็บยาสมุนไพรนั้นจะต้องมีอากาศถ่ายเทสะดวก เพื่อขับไล่ความอับชื้นที่อาจจะก่อให้เกิดเชื้อราในยาสมุนไพร
2. ยาสมุนไพรที่จะเก็บรักษานั้นจะต้องแห้งไม่เปียกชื้นเพราะจะเสี่ยงต่อการในยาสมุนไพรนั้นๆได้ หากมียาที่เสี่ยงต่อการขึ้นราได้ง่าย ควรจะนำยาสมุนไพรออกมาตากแดดอย่างสม่ำเสมอ
3. ในการเก็บรักษายาสมุนไพรควรแบ่งประเภทของยาต่างๆในการรักษาโรค เพื่อการหยิบใช้ที่สะดวกสบายและไม่เกิดการหยิบใช้ผิด
4. ควรตรวจดูความเรียบร้อยในการเก็บรักษายาสมุนไพรบ่อยๆ ว่ามีสัตว์หรือแมลงต่างๆเข้าไปทำความเสียหายกับยาสมุนไพรที่เก็บไว้หรือไม่

สรุป

        คนโบราณ ผู้เฒ่าผู้แก่สมัยปู่ ย่า ตา ยาย ของเรานั้น สืบทอดสิ่งที่จัดได้ว่าเป็นภูมิปัญญามาแล้วจากอดีต มีความเป็นอยู่ที่เป็นสุขดีมาโดยตลอดอย่างน่าสรรเสริญ น่าสนใจ น่าศึกษา และน่าเอามาปฎิบัติในยามที่อยู่ห่างไกลหยูกยา ห่างไกลหมอ หรือเมื่อไปอยู่ในสถานที่ไกลๆสามารถเอาภูมิปัญญานี้มาใช้ได้ประโยชน์ทีเดียว พืชพันธุ์ไม้ต่างๆที่มีอยู่มีสรรพคุณทางยาที่แตกต่างกันไป เพียงแต่ว่าจะมีการศึกษาและทดลองใช้ในทางยากันมาแล้วเพียงไหนเท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าพืชพันธุ์บางอย่างนั้นมีสรรพคุณที่ดีเยี่ยมในการเยียวยารักษาอาการของโรคที่เกิดกับร่างกายได้อย่างน่าพอใจ แก้ปัญหาได้อย่างดี ทำให้ผู้เจ็บป่วยมีอาการทุเลาเบาลงได้ สิ่งเหล่านี้จึงน่าสนใจ น่าศึกษาเอาไว้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อไปอย่างน้อยก็รู้ใช่ว่า รู้เอาไว้เพื่อการแนะนำผู้ที่ยังไม่รู้ ยังไม่เข้าใจหรือถ้าเข้าใจก็เข้าใจอย่างงูๆปลาๆอยู่


ที่มา:


ใช้พืชสมุนไพรป้องกันโรคในฤดูหนาว

สมุนไพรป้องกันโรค







 



















ประเทศเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมไปจนถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ในปีถัดไป สิ่งที่เกิดขึ้นในฤดูหนาวที่เห็นได้ชัดเจนคืออุณหภูมิจะลดต่ำลงไปเรื่อย ๆ เริ่มตั้งแต่ ๒๐ องศาเซลเซียส จนเกือบถึง ๐ องศาเซลเซียส หรืออาจถึงติดลบ คือ ต่ำกว่า ๐ องศาเซลเซียส ทำให้มีผลกระทบต่อร่างกายได้
                     นายแพทย์นรา นาควัฒนนุกูล พูดถึง หลักทฤษฎีการแพทย์แผนไทย ว่า ร่างกายคนเรามีธาตุเป็นองค์ประกอบ อยู่ ๔ ธาตุ ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอาการเจ็บป่วยของคนเราจะขึ้นอยู่กับการเสียสมดุลของธาตุนั้น ๆ ซึ่งการเจ็บป่วยในฤดูหนาวมักเกี่ยวกับธาตุน้ำในร่างกายเสียสมดุล ร่างกายจะแสดงอาการที่พบบ่อย คือ อาการเจ็บคอ แสบคอ มีเสมหะ อาการดังกล่าว คือ กลุ่มอาการของดรคระบบทางเดินหายใจ คนไทยเรามีวิธีการดูแลสุขภาพในช่วงฤดูนาวด้วยการแพทย์แผนไทยนำมาสมุนไพรปรับใช้เพื่อป้องกันหรือแก้หนาว ด้วยสมุนไพรไทยที่หาได้ง่ายตามท้องตลาดหรือบริเวณบ้านมีมาก ด้วยการปรับสมดุลของธาตุน้ำ ได้แก่
                   พริก chilli พริกมีสารแคพไซซิน (capsaicin) ซึ่งช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดในร่างกาย และทำให้ความรู้สึกหนาวเย็นบริเวณปลายนิ้วมือ-ปลายนิ้งเท้าลดลง
                   กระเทียม (gralic) ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของหลอดเลือด โดยเฉพาะที่บริเวณผิวหนัง กระเทียมสามารถรับประทานได้ทั้งสดและเป็นเครื่องปรุงอาหาร
                   ขิง (singer) มีสารจิงเกอรอล (gingerol) ช่วยลดโคเลสเตอรอลชนิดเลว ทำให้เลือดไม่แข็งตัวหรือจับเป็นลิ่มเลือดง่าย
                   ข่า (galangal) มีสรรพคุณในการบำรุงธาตุไฟ ช่วยย่อยอาหาร แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน ช่วยลดเสมหะ บำรุงร่างกาย ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด และต้านมะเร็ง กระชาย (finger root) เป็นพืชที่มีรสร้อน มีวิตามิน เอ บี ๑๒ และแคลเซียม มีสรรพคุณ ช่วยระบบย่อยอาหาร บรรเทาอาการจุกเสียดในกระเพาะอาหาร
                   กระเพรา (basil) โดยเฉพาะใบสดมีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งประกอบด้วย linalool และ methyl chavicol สรรพคุณ เป็นยาแก้ขับลม แก้อาการจุกเสียด นำใบสดมาคั้นน้ำใช้ขับเสมหะ ขับเหงื่อ หากมีแผลหรือเป็นโรคผิวหนัง นำน้ำคั้นกระเพราะมาทาบริเวณผิวหนังซึ่งสามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ได้บางชนิด นอกจกานี้ยังมีฤทธิ์ป้องกันยุงได้นานถึง ๒ ชั่วโมง
                   โหระพา (sweet basil) ใช้ใบคั้นเอาน้ำประมาณ ๑ ถ้วย ผสมน้ำผึ้ง จิบแก้ไอ หลอดลมอักเสบ และขับเหงื่อ
                    สะเดา(neem) มีคุณค่าทางโภชนาการ ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เส้นใย เบต้าแคดรทีน วิตามินเอ วิตามินบี ๑ และ ๒ วิตามินซี และไนอาซีน ประโยชน์ของสะเดา มีสรรพคุณบำรุงธาตุไฟ สร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย และแก้ไข ช่วยให้อุจจาระละเอียดขับถ่ายคล่อง และช่วยให้นอนหลับสบาย เรานิยมนำดอกและใบนำมารับประทาน
                    นอกจากเรื่องการปรับสมดุลของธาตุในร่างกายแล้ว ในฤดูหนาวยังมีปัญหาเรื่องผิวหนังแห้ง ถือเป็นปัญหาที่สร้างความรำคาญแก่เราได้หากไม่ดูแลรักษา เพราะเมื่อผิวหนังแห้งจะทำให้รู้สึกคัน รำคาญ บางคนจะรู้สึกแสบร้อนมักเกาบริเวณผิวหนังที่คันจนเกิดแผลอักเสบเลือดออก และมีเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายเกิดอาการอักเสบ ซึ่งหากมีผิวแห้ง มีข้อแนะนำให้นำน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ทางจะช่วยให้ผิวเกิดความชุ่มชื้นได้นาน หากใช้น้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันงาจะช่วยลดอาการอักเสบของผิวหนัง ป้องกันมะเร็งผิวหนังที่เกิดจากแสงแดดได้
                    เมื่อทราบถึงวิธีการใช้พืชผักสมุนไพรแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่ยากเพียงแค่เราใส่ใจต่อการรับประทานที่มีส่วนประกอบของพืชผักสมุนไพรเป็นประจำจะเป็นการป้องกันการเกิดโรคที่มักเกิดขึ้นในฤดูหนาว นอกจากรับประทานพืชสมุนไพรแล้ว ควรออกกำลังกายเป็นประจำอย่างสม่ำเสมออีกด้วย เพื่อให้มีสุขภาพที่แข็งแรง มีคำไทยกล่าวว่า "กันไว้ดีกว่าแก้”ดังนั้นเราควรป้องกันไว้ดีกว่ามาตามแก้ไขภายหลัง.
 

จาก นิสารัชต์ นิลสว่าง / เรียบเรียง

สรรพคุณในการป้องกันโรคของข้าวกล้อง

สรรพคุณในการป้องกันโรค















ข้าวกล้องเป็นหนึ่งในอาหารที่สำคัญที่สุดในโลก โดยเลี้ยงประชากร มากถึงครึ่งหนึ่งของโลก ข้าวเป็นแหล่งของเส้นใยอาหาร แมงกานิส ซีลีเนียม และแมกนีเซียม มีสรรพคุณในการช่วยเสริมสร้างพลังงาน ป้องกันสารต้านอนุมูลอิสระ ลด คอเลสเตอรอล บำรุงหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ ลดความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน และหอบหืด เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ต้านมะเร็ง และป้องกันนิ่วในถุงน้ำดี
ทุกคนต่างรู้ดีว่าข้าวเป็นหนึ่งในอาหารที่เก่าแก่ที่มีการปลูก และบริโภคกันอย่างแพร่หลายตั้งแต่สมัยโบราณ เดิมทีมีการคาดกันว่าข้าวปลุกขึ้นเป็นครั้งแรกที่ประเทศจีน เมื่อประมาณ 6,000 ปีก่อน แต่หลังจากการค้นพบหลักฐานทางโบราณคดี กลับพลเมล็ดข้าวและอุปกรณ์ทางการเกษตรที่มีอายุย้อนหลังไปถึง 9,000 ปีเลยทีเดียว
ด้วยประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน เราพบว่ามีการปลูกข้าวเป็นอาหารในทวีปอาเซียเท่านั้น จนกระทั่งนักเดินทางชาวอาหรับได้นำข้าวไปเผยแพร่ยังประเทศกรีซโบราณ ก่อนที่อเล็กซานเดอร์มหาราชจะนำไปยังอินเดีย และแพร่ไปทั่วทุกมุมโลกในเวลาต่อมา ในศตวรรษที่ 8 ชาวมัวร์ ได้นำข้าวไปยังสเปน ในขณะที่ชาวครูเซด ได้นำมันไปยังฝรั่งเศส ในศตวรรษที่ 17 ข้าวถูกนำไปยังทวีปอเมริกา ได้เป็นครั้งแรก โดยชาวสเปน ในยุคที่มีการล่าอาณานิคม ข้าวส่วนใหญ่ของโลกจะปลูกที่ทวีปอาเซีย โดยมีไทย เวียตนาม และจีน เป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก

สรรพคุณในการป้องกันโรคของข้าวกล้อง

หนึ่งในสารอาหารที่มีอยู่อย่างมากมายในข้าวกล้อง คือ ลิกแนน ซึ่งมีสรรพคุณในการป้องกันโรคมะเร็งเต้านม รวมไปจนถึงโรคหัวใจด้วยเช่นกัน นอกจากข้าวกล้องแล้ว ถั่ว เมล็ดพืช ผลไม้ตระกูลเบอรรี่ต่าง ๆ ผัก ผลไม้ และเครื่องดื่มจำพวกชา กาแฟ และไวน์ก็มีสารลิกแนนอยู่ด้วยเช่นกัน
ผู้หญิงที่กินข้าวกล้อง จะลดน้ำหนักลงได้ดีกว่าผู้หญิงที่ไม่ได้กิน
งานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสาร American Journal of Clinical Nutrition ได้กล่าวถึงความสำคัญของการกินข้าวกล้อง รวมไปถึงธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสีหรือกแปรรูปอื่น ๆ ว่ามีส่วนช่วยคุมน้ำหนักได้ดีกว่าธัญพืชที่ผ่านการแปรรูปจำนวนข้าวขาวอย่างเห็นได้ชัด ที่ Harvard Medical School มีการรวบรวมข้อมูลของอาหาสมัครหญิง จำนวน 74,000 คน ที่มีอายุระหว่าง 38-63 ปี เป็นเวลามากว่า 12 ปี พบว่าผู้หญิงที่บริโภคธัญพืชไม่แปรรูปจะมีน้ำหนักลงลงเมื่อเปรียบเทียบกับผู้หญิง ที่กินอาหารดังกล่าวในปริมาณน้อย หรือไม่ได้กินเลย ผู้ที่ได้รับเส้นใยอาหารมากที่สุดจากธัญพืชไม่ขัดสีจะลดน้ำหนักได้มากึงร้อยละ 49 เมื่อเปรียบเทียบกับผู้หญิงที่กินอาหารซึ่งทำจากธัญพืชขัดสี
ร่างกายแข็งแรง อายุยืนนานด้วยข้าวกล้อง
ข้าวกล้องเป็นแหล่งของแมงกานิส ซีลีเนียม และแมกนีเซียม ข้าวกล้องมีสรรถคุณในการเสริมสร้างพลังงาน ต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ระบบการเผาผลาญทำงานเป็นปกติ ช่วยลดน้ำหนัก ลด คอเลสเตอรอล ดีต่อหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ ลดความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ดีต่อกระดูกและฟัน ต้านมะเร็ง ลดความเสี่ยงต่อการเป็นนิ่วในถุงน้ำดี และโรคหอบหืด

ข้าวเป็นหนึ่งในอาหารที่สำคัญที่สุดของโลก เป็นอาหารของประชากรครึ่งค่อนโลก กระบวนการผลิตข้าวกล้องเป็นการกะเทาะผิวส่วนนอกสุดของเมล็ดข้าว หรือส่วนเปลือกของเมล็ดข้าวออกไป ทำให้ข้าวสูญเสียสารอาหารที่มีประโยชน์ออกไปน้อยที่สุด ข้าวยังคงรักษาสารอาหารที่มีประโยชน์ไว้เกือบทั้งหมด การนำข้าวไปผ่านกระบวนการสีจนได้เป็นข้าวขาว ทำให้ข้าวสูญเสียวิตามินบี 3 ไปถึงร้อยละ 64 วิตามินบี 1 ร้อยละ 80 วิตามินบี 6 ร้อยละ 90 เหล็กร้อยละ 60 แมงกานิสและฟอสฟอรัสร้อยละ 50 ในขณะที่ยังสูญเสียเส้นใยอาหารและกรดไขมันที่เป็นประโยชน์ไปเกือบทั้งหมดด้วยเช่นกัน

ที่มา : www.บีทูอี.com

จบบทความ 

สมุนไพรรักษาโรค

มะระขี้นก กับ เบาหวาน โรคตับ โรคเก๊าต์ ข้ออักเสบ

มะระขี้นก (Momordica charantia L.) เป็นสมุนไพรที่ใช้กันมานานนับพันปี ในเอเซีย อาฟริกา และละตินอเมริกา อายุรเวทใช้ผลมะระรักษาเบาหวาน โรคตับ บรรเทาอาการโรคเก๊าต์และข้ออักเสบ ตำรายาไทยใช้ใบมะระในตำรับยาเขียวลดไข้ รากในตำรับยาแก้โลหิตเป็นพิษ และโรคตับ


      านวิจัยสมุนไพรมะระได้ดำเนินอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ ค.ศ. 1962 ซึ่ง Lotlika และ Rao ได้ค้นพบชาแรนตินในผลมะระ ที่แสดงฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของสัตว์ทดลอง ในปี 1965 Sucrow ได้พิสูจน์โครงสร้างเคมีของชาแรนติน พบว่าเป็นสารผสมของ sitosteryl- และ 5,25-stigmastadien-3-beta-ol-D-glucosides ในอัตราส่วน 1:1 ปี 1977 Baldwa และคณะ ได้แยกสารคล้ายอินซูลินจากผลมะระและมีฤทธิ์ลดน้ำตาล ในปี 1981 Khana และคณะได้พิสูจน์โครงสร้างของสารคล้ายอินซูลิน พบว่าเป็นโพลีเปปไทด์ที่มีน้ำหนักโมเลกุล 11,000 ดาลตัน และมีกรดอะมิโน 166 residues เรียกสารนี้ว่า โพลีเปปไทด์ พี สารขมกลุ่มคิวเคอร์บิตาซินซึ่งเป็น chemotaxonomic character ของพืชวงศ์ Cucurbitaceae คิวเคอร์บิตาซินในมะระ คือ momordicosides, momordicins, karaviloside K1 และ charantoside มีรายงานว่าสารขมดังกล่าวมีฤทธิ์ลดน้ำตาล 

       ในมะระขี้นกมีสารหลายชนิดที่ต้านเบาหวาน และมีหลายกลไกที่ออกฤทธิ์ต้านเบาหวาน ได้แก่ เสริมการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน ลดการสร้างน้ำตาลจากตับ เสริมการเผาผลาญน้ำตาล เพิ่มความไวต่ออินซูลิน เพิ่มความทนต่อกลูโคส (glucose tolerance) นอกจากนี้ยังยับยั้งการหลั่งกลูโคสในลำไส้เล็ก และยับยั้งเอนไซม์กลูโคไซเดส 

         น้ำคั้นจากผลมะระขี้นกแสดงฤทธิ์ต้านเบาหวานในกระต่ายและหนูขาว นอกจากนี้ยังมีรายงานว่ามะระสามารถชะลอความผิดปกติของไต การเกิดต้อกระจก การเสื่อมของเส้นประสาทซึ่งเป็นผลมาจากการที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน หรือไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลเลือดให้ปกติ 

        การศึกษาทางคลินิกในผู้ป่วยเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน (8 คน) พบว่าผู้ป่วยทนต่อกลูโคสได้ดีขึ้น ลดระดับน้ำตาลขณะอิ่ม และลดความถี่ของการถ่ายปัสสาวะ จึงขอแนะนำผู้ป่วยเบาหวานบริโภคมะระขี้นกเป็นอาหาร หรือในรูปน้ำคั้นเป็นอาหารเสริม เพื่อช่วยรักษาระดับความดันเลือดให้ปกติ และชะลออาการต่างๆที่เป็นผลเสียจากโรคเบาหวานที่เป็นมานาน

       มะระขี้นก (สีเขียว) มีคุณค่าทางอาหารเพราะมีวิตามินเอ (2,924 IU) ไนอะซิน (190 มก./100ก) และมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ 

การเตรียมน้ำคั้นจากผลมะระขี้นก

ขนาดที่ใช้ต่อวัน ผลสด 100 ก. นำมาผ่าครึ่ง ใช้ช้อนกาแฟขูดไส้ในและเมล็ดออก หั่นเนื้อผลเป็นชิ้นเล็กขนาดกว้าง 1 ซม. ใส่ในเครื่องปั่นแยกกาก จะได้น้ำมะระประมาณ 40 มล. ดื่มหลังอาหารเช้าหรือเย็น


ประสบการณ์ของข้าพเจ้ากับน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี

น้ำมันพืช กับ น้ำมันหมู




ได้ยินมาสักพักใหญ่แล้ว ก็ลองศึกษาหาอ่านไปเรื่อยๆ เห็นว่าบนความด้านล่างมีประโยชน์ ก็เลยนำมาแชร์ให้อ่านกัน จริงเท็จประการใด ขอผู้อ่านลองคิดดูนะครับ
นำมาจาก vcharkarn.com เขียนโดย หมอยาไทย









ประสบการณ์ของข้าพเจ้ากับน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี

       เมื่อข้าพเจ้าเป็นเด็ก จะเห็นแม่สาละวนกับการเจียวน้ำมันหมูทุกๆ ๗ วัน เพื่อใช้ผัดกับข้าว ให้พวกเรารับประทาน น้ำมันหมูนี้มันเก็บได้ไม่นานเพราะไม่มีตู้เย็นเหมือนปัจจุบัน อีกทั้งการใช้ก็ตักทีละน้อย เพราะน้ำมันที่ผัดหรือทอดแล้วจะดำ และเหม็นหืนง่ายแต่พอข้าพเจ้าเป็นวัยรุ่น บรรดานักวิชาการสุขภาพก็เริ่มประกาศความมีพิษภัย ของน้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าว โดยโฆษณาชุดแรกๆ ก็เน้นที่ความไม่เป็นไข (แข็งตัว) เมื่ออุณหภูมิเย็นตัวลง ของน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี เมื่อเทียบกับน้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าว โดยโฆษณาเน้นเรื่อง คอเลสเตอรอล ให้คนดูตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพเรื่อง โรคหลอดเลือดและหัวใจ
ด้วยความใสซื่อและอ่อนต่อโลก จึงคิดไม่ถึงว่า งานวิจัยเรื่องน้ำมันพืชนั้นมีผลประโยชน์แอบแฝง เพราะทั้งน้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าว จะไม่มีวันจับตัวเป็นไขในร่างกายคนได้ เพราะอุณหภูมิสูงภายในมนุษย์สูงกว่า ๒๕ องศาเซลเซียส ไม่ว่าอากาศภายนอกจะหนาวเย็นเพียงใด (ที่ขั้วโลกเหนือและใต้ อุณหภูมิร่างกายคนก็อยู่ที่ ๓๕-๓๗ องศาเซลเซียส
ครอบครัวของข้าพเจ้าเปลี่ยนมาใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี และแล้วหลายสิบปีผ่านไป การตรวจเลือดหาปริมาณคอเลสเตอรอล ยังคงได้ตัวเลขสูงๆ กว่าค่าปกติทุกปี ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าก็ไม่อ้วน หรือ น้ำหนักเกินดัชนีมวลกายและได้เลิกใช้น้ำมันหมูหรือน้ำมันมะพร้าว ไปนานแล้ว อีกทั้งร้านอาหารทุกแห่ง ไม่ว่าริมถนนหรือภัตตาคารก็ไม่มีใครทำน้ำมันใช้เองอีกแล้ว แม่ของข้าพเจ้าป่วยตายด้วยโรคมะเร็งเยื่อหุ้มหัวใจเมื่ออายุ ๘๑ ปี หลังจากต้องกินยาคุมความดันโลหิตสูง ยาละลายลิ่มเลือด มากว่า ๓๐ ปี
แต่ข้าพเจ้ากลับป่วยก็ด้วยอาการของโรคต่อมลูกหมากโต โรคไตและแผลเบาหวานทั้งๆ ที่ น้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร ๘ ชั่วโมงเพียง ๙๐ หน่วย ข้าพเจ้าโชคดีที่พบผู้รู้และยาแก้ ข้าพเจ้าก็อดทนกินยาสมุนไพรตำรับต่างๆ จนเกือบหายสนิท
ข้าพเจ้าได้วิจัยถึงสาเหตุที่ข้าพเจ้าเป็นโรคต่างๆ ดังกล่าวจนพบความจริงว่า น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีนี้แหละเป็นต้นเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าป่วย เพราะกินน้ำมันนี้วันละ ๓ มื้อ มากกว่ายาชนิดใดใด และน้ำมันพืชฯนี้มันถูกเติมไฮโดรเจน (Hydrogenated) เมื่อผ่านกรรมวิธี กลั่น(refined) ฟอกสี(bleached) แต่งกลิ่น(deodozied) ทำให้ทอดอาหารได้กรอบอร่อย ใช้ได้หลายครั้งไม่เหม็นหืนง่าย แต่ก็มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง ชนิดที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลง โครงสร้างทางเคมี ซึ่งไม่เหมือนอย่างน้ำมันมะพร้าวที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง โดยธรรมชาติ ไม่มีอันตรายเพราะ ละลายน้ำได้ (การคั้นน้ำกะทิแล้วเคี่ยวจนเป็นน้ำมัน)
ท่านอาจจะยังไม่เชื่อข้าพเจ้า จึงอยากให้ทดลองเองที่บ้าน นำน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธียี่ห้อไหนก็ได้ ลองใส่ภาชนะแล้วตากแดดให้อุณภูมิใกล้เคียงกับภายในของมนุษย์ แล้วตรวจดูความเหนียวหนึบ ของมัน ทดลองกับน้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าวที่เคี่ยวเอง แล้วเปรียบเทียบกัน ความเหนียวหนึบยึดติดนี้จะเกิดในลำไส้เล็ก และหน่วยไตของคนและสัตว์ ในรายที่บริโภคน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี เมื่อน้ำไม่สามารถซึมผ่านคราบน้ำมันในลำไส้เล็ก สารละลายน้ำเช่นวิตามินบี ซี กรดอมิโน ก็จะกลายเป็นภาระของไตต้องกรอง ไตทำงานหนักมากขึ้นเรื่อยๆ (ดูกรณีไขมันรวมตัวเป็นก้อนที่กระดูกสันหลังบริเวณเอวที่ www.thaiherbclinic.com/?q=node/35#comment) เพราะร่างกายขาดสารอาหาร สมองสั่งให้เรากินมากขึ้น
แต่อนิจจา ยิ่งกินมากน้ำมันก็ยิ่งอุดตัน ไตก็ทำงานหนักขึ้นอีก แนวโน้มคนป่วยโรคไตวายเรื้อรังมีมากถึง ๑๒ ล้านคน ในอีก ๑๐ ปีข้างหน้า ในราวต้นปี ๒๕๕๐ บริษัทฟ้าสฟู้ด KFC ในต่างประเทศ ได้ประกาศเลิกใช้น้ำมันพืชที่เติม ไฮโดรเจน โดยไม่บอกเหตุผล จึงเป็นเรื่องน่าคิดว่า เพราะเหตุใดธุรกิจจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนสูตร การปรุงอาหาร เพิ่มต้นทุนการผลิตของตนเอง ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงทางการตลาดและกำไร ที่ลดน้อยลง
ในขณะเดียวกันรัฐนิวยอร์คก็มีกฎหมายห้ามร้านอาหารและภัตตาคาร ใช้น้ำมันพืชที่เติมไฮโดรเจนในการปรุงอาหาร (น้ำมันพืชที่เติมไฮโดรเจนจะเรียกว่า Trans fat) ดร.ณรงค์ โฉมเฉลาได้เขียนบทความ ''น้ำมันมะพร้าวและกะทิเป็นอันตรายหรือประโยชน์ต่อ สุขภาพ' ในวารสาร "เกษตรกรรมธรรมชาติ" ใจความว่าประเทศที่บริโภคน้ำมันมะพร้าว มีตัวเลขการตายจากโรคหัวใจและมะเร็ง ต่ำกว่าประเทศที่บริโภคน้ำมันพืชอื่น
แล้วทำไม จึงมีงานวิจัยในอดีตที่กล่าวว่า น้ำมันมะพร้าวเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดและหัวใจ เพราะน้ำมันมะพร้าวมีไขมันอิ่มตัวสูง ดร.ณรงค์กล่าวว่า American Soybean Association ได้ว่าจ้างสถาบันวิจัยแห่งหนึ่งในอเมริกา วิจัยผลเสียของน้ำมันมะพร้าวเพื่อที่ถั่วเหลือง จะมีโอกาสเกิดในตลาดโลก ข้าพเจ้าอยากเตือนคนไทยทั้งหลาย โปรดสำรวจตนเองว่าท่านกินน้ำมันวันละซีซี มันระบายออกมาได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าท่านไม่หยุดกิน โรคเรื้อรังต่างๆ (ดู www.cdri.multiply.com) อาจจะมาเยือนท่านไม่ช้าก็เร็ว


น้ำมันพืชชนิดใดเหมาะกับการปรุงอาหาร

นิตยสารหมอชาวบ้าน ปีที่ ๒๕ ฉบับที่ ๒๙๑ ก.ค.๒๕๔๖ ลงบทความ "น้ำมันพืช ใช้อย่างไรให้ถูกต้องและปลอดภัย" แนะนำว่า การผัดอาหารควรใช้ น้ำมันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว แต่หากจะทอดอาหารแล้วควรใช้ น้ำมันพืช หรือสัตว์ ที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง เพราะการทอดใช้ความร้อนสูง และจุดเดือดน้ำมันพืชประมาณ 180 องศาC จะเกิดสารเคมีที่เป็นพิษต่อร่างกายหลายชนิด เรียกรวมๆ ว่า โพลาร์คอมเพาวด์ (Polar Compound) สารเคมีชนิดนี้ข้าพเจ้าเคยพบด้วยกลิ่นที่ทำให้แสบจมูก มีพ่อค้าทอดขนมกู๋ไช่คนหนึ่ง มีอาการตาพร่ามัว จึงไปพบจักษุแพทย์ และได้รับคำแนะนำให้เลิกอาชีพขาย อาหารทอด อาหารผัดอย่างถาวร มิฉะนั้นจะตาบอดได้ ทำไมน้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัวสูง อย่างน้ำมันหมู และน้ำมันมะพร้าว จึงเหมาะแก่การทอด?
คำตอบก็คือ น้ำมันทั้งสองชนิดนี้เป็นน้ำมันที่มี กรดไขมันอิ่มตัวสูง (น้ำมันหมู 40% น้ำมันมะพร้าว 88%) มีสูตรโครงสร้างทางเคมีที่จับกับธาตุคาร์บอน (C) ในลักษณะแขนเดี่ยว (single bond) เมื่อโดนความร้อนสูงก็ทำให้อาหารกรอบ อร่อย ไม่มีสารเคมีเป็นพิษ และน้ำมันที่ใช้ทอดแล้วก็เก็บไว้ทอดซ้ำเกิน ๒ ครั้งไม่ได้เพราะจะดำและเหม็นหืน ซึ่งผิดกับน้ำมันพืชอื่นๆ ซึ่งมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ซึ่งมีโครงสร้างเคมีเป็น แขนคู่ (double bond) ในการจับกับธาตุคาร์บอน จึงสามารถจับกับธาตุไฮโดรเจนเพิ่มได้อีก ๒ อะตอม จึงเหมาะกับการเติมไฮโดรเจน (Hydrogenation) ซึ่งเรียกว่า Trans Fatty Acid (TFA) 'Trans' นี้เป็นผลลัพท์ของความพยายามที่จะทำให้น้ำมันพืช มีลักษณะเหมือน น้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง ที่ทำให้อาหารทอด กรอบอร่อย แต่ปัญหาที่ตามมาคือ ความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วน โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน มะเร็งเต้านม เพราะน้ำมันพืชที่ผ่านกรรมวิธีเหล่านี้ไม่สามารถขับออกจากร่างกายได้ง่ายๆ เหมือนน้ำมันมะพร้าวที่ละลายน้ำได้
บางคนที่เป็นปู่ย่าตายายในขณะนี้ (อายุ ๗๐ ปีขึ้นไป) จะบอกกล่าวว่า พ่อแม่ของท่านใช้น้ำมันหมู และน้ำมันมะพร้าวทำอาหาร และท่านก็มีอายุถึง ๙๐ ปีกว่า ก่อนเสียชีวิต ไม่ได้กินน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเลย แต่ก็มีอายุยืนยาวได้ ในทางกลับกัน คนไทยในสมัยนี้กินน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีมานานกว่า ๓๐ ปี กลายเป็นโรคเบาหวานกันทั่วประเทศ ทุกหมู่บ้าน เด็กๆ ก็กลายเป็นโรคอ้วน เบาหวานในเด็กก็ลุกลามใหญ่โต จนในปีนี้องค์การเบาหวานโลก ได้เน้นการรณรงค์เบาหวานในวัยรุ่น
ปีหนึ่งๆ จะมีผู้ป่วยเบาหวานเพิ่มขึ้นในโลกไม่น้อยกว่า ๕ ล้านคน สารเคมีที่กินเข้าไปคือ polar compound ยังไม่มีใครประกาศออกมาเลยว่ามีผลร้ายอย่างไร แต่ที่แน่ๆ คือ มันหนืดเมื่อโดนความร้อนสูง และติดหนึบหนับในลำไส้เล็กของเรา จนทำให้ประสิทธิภาพการดูดซึมสารอาหารที่ละลายน้ำ เช่น กรดอมิโน วิตามินบี ซี หายไปมาก เป็นต้นเหตุของการเจ็บป่วยต่างๆ โดยเฉพาะการเจ็บป่วยแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งยากต่อการสังเกตเห็น
บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมเชียร์แต่น้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าวเคี่ยวเอง น้ำมันปาล์มก็มีระดับกรดไขมันอิ่มตัวสูงถึง 48% ไม่เหมาะกับการทอดหรืออย่างไร? จริงๆ แล้วก็เหมาะสมแต่น้ำมันปาล์มที่ขายอยู่นั้นผ่านกรรมวิธี จึงมี polar compound เมื่อทอด น้ำมันพืชที่ได้จากการสกัดแบบธรรมชาติ คือ หีบเย็น (Cold press) หรือ การบีบคั้นโดยไม่ใช้ความร้อนส่วนใหญ่แล้วดี มีคุณค่าทางโภชนาการ แต่เมื่อเอาไปดัดแปลงทางเคมี เติมไฮโดรเจนเข้าไปก็เลยเป็นโทษ
น้ำมันพืชที่หีบเย็นถ้านำมากินโดยไม่ผ่านการผัด การทอดก็จะได้สารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย สปาหลายแห่งจึงนำไปใช้เสริมสวย บำรุงผิวให้ลูกค้า นิตยสาร'เกษตรกรรมธรรมชาติ' ฉบับ ๒/๒๕๔๘ บทความพิเศษ "น้ำมันมะพร้าวและกะทิ- เป็นอันตรายหรือเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ"โดย ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา กล่าวไว้ว่า "น้ำมันมะพร้าว เป็นน้ำมันพืชที่ประเทศต่างๆ ในเอเซียและแปซิฟิคใช้เป็นแหล่งพลังงานและการหุงหาอาหารมาช้านาน โดยไม่ปรากฎอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน
จากรายงานขององค์การสหประชาชาติ เมื่อปี 2521 ประเทศศรีลังกาเป็นเทศที่ใช้น้ำมันมะพร้าวมากที่สุดประเทศหนึ่ง มีอัตราการตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันเพียง ๑ในแสนคน เปรียบเทียบกับ ๑๘๗ ในแสนคนในประเทศที่ไม่ได้ใช้น้ำมันมะพร้าว" ดร.ณรงค์ยังกล่าวด้วยว่า "น้ำมันมะพร้าวไม่ได้เปลี่ยนแปลงระดับโคเลสเตอรอลในเลือด เนื้อมะพร้าวกับน้ำมะพร้าวลดระดับโคเลสเตอรอลอย่างมีนัยสำคัญ น้ำมันมะพร้าวเพิ่มปริมาณของ High density lipoprotein (HDL) ได้มากกว่าน้ำมันถั่วลิสง น้ำมันมะพร้าวไม่เพิ่มอัตราส่วนของ LDL ต่อ HDL ในขณะที่ไปลดระดับของไตรกลีเซอไรด์" (โปรดดู เอกสารการสัมนาที่http://www.dtam.moph.go.th/aternative/viewstory.php?id=360)
ข้าพเจ้าคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องเชื่อมั่นในภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทย แม้ว่าท่านทั้งหลายจะไม่ได้บันทึกการทดลองทางเคมี ชีวะ ไว้ให้เราศึกษา แต่อย่าลืมว่าท่านได้ใช้ร่างกายของท่านทดลองเพื่อพวกเรามานานแสนนานแล้ว